เทศน์เช้า วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันพระนะ วันพระ วันโกน เราหาผลประโยชน์ใส่กับหัวใจของเรา หัวใจของเราต้องการธรรมะนะ ร่างกายต้องการอาหาร อาหารปัจจัยเครื่องอาศัย เราปากกัดตีนถีบ เราหามาเพื่อการดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้เพื่อหัวใจดวงนี้ไง
หัวใจดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีต้นไม่มีปลาย มันจะไปข้างหน้าไง ไปข้างหน้าจะเอาสิ่งใดอาศัยไป มันก็อาศัยบุญกุศลเป็นสิ่งที่อาศัยไป สิ่งที่อาศัยไป เห็นไหม
วันนี้วันลอยกระทง วันลอยกระทงนี่เป็นสัญลักษณ์ เวลาเป็นสัญลักษณ์ พวกเราดูแต่ระดับของทาน เขาจะลอยทุกข์ลอยโศก เวลามีทุกข์มีโศกขึ้นมา ลอยกระทงไปให้มันพ้นจากชีวิตนี้ไปไง ลอยทุกข์ลอยโศก นั่นมันเป็นสัญลักษณ์ เป็นสัญลักษณ์เป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมคุณงามความดีนะ ถ้าไม่มีคุณงามความดี เราจะเริ่มต้นมาจากไหน
ทาน ศีล ภาวนา ทาน ศีล ภาวนา ถ้าไม่มีการเสียสละ ไม่มีน้ำใจต่อกัน สังคมมันขัดแย้ง สังคมไม่ร่มเย็นเป็นสุข ใครจะภาวนา การจะภาวนามันต้องร่มเย็นเป็นสุขใช่ไหม ถ้าร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา ถ้าร่มเย็นเป็นสุขแล้ว สิ่งที่ร่มเย็นเป็นสุข สิ่งนี้นี่เป็นเรื่องของทาน ถ้าเรื่องของทาน ถ้าเรื่องของทานแล้วมันทำอย่างไรต่อไป ถ้าทำอย่างไรต่อไป เวลาลอยทุกข์ลอยโศก เวลาลอยทุกข์ลอยโศก ลอยเคราะห์ลอยกรรมไป ถ้าลอยเคราะห์ลอยกรรมไป มันลอยได้จริงหรือเปล่าล่ะ มันลอยไม่ได้จริงหรอก เวลาเรามีสติปัญญาเท่านั้น ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้าเป็นนักเลงการพนัน ถ้าเที่ยวกลางคืน มีเสียงร่ำร้องที่ไหน มีมหรสพที่ไหน ไปที่นั่น ที่ไหนมีการพนัน ไปที่นั่น นี่ไปที่นั่น
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราทำๆ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม จริงๆ ขึ้นมาแล้วมันต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาในหัวใจของเรา ถ้ามีศีล มีสมาธิ มีปัญญาในหัวใจของเรา นี่ลูกศิษย์กรรมฐาน ลูกศิษย์กรรมฐานเขาไม่ตื่นเต้นกับเรื่องอย่างนี้เลยนะ เรื่องอย่างนี้ เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องของโลกๆ เราอยู่กับโลก ถ้าอยู่กับโลก ครูบาอาจารย์ของเราอยู่กับโลก เราไม่ไปขัดไม่ไปแย้งกับใครนะ ธรรมะในใจของครูบาอาจารย์เราเข้าได้ทุกเม็ดหินเม็ดทราย ทำไมจะเข้าไม่ได้ ทำไมจะเข้ากับเรื่องโลกอย่างนี้ไม่ได้ มันเข้ากับเรื่องโลกอย่างนี้ได้แล้ว แต่เข้ากับเรื่องโลกนี้ได้ นี้มันเป็นโลกนะ ถ้าเป็นโลก เราวุ่นวายอยู่กับโลก เราจะเข้ามาสู่ธรรมะได้ไหม
ถ้าเราเข้ามาสู่ธรรมะ มันต้องมีสติมีปัญญา สิ่งนี้มันเป็นคุณงามความดีใช่ไหม ใช่ มันเป็นคุณงามความดี นักขัตฤกษ์ ถึงเวลาแล้วมันเป็นวัฒนธรรมของเรา วัฒนธรรมของเรา สิ่งที่เวลาถึงนักขัตฤกษ์ กลับบ้านกลับเรือนของเรา ไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ นี่ความกตัญญูกตเวที พ่อแม่อยู่ที่บ้านนะ ได้ความอบอุ่น ต้องการความสนใจจากลูกหลาน ต้องการความสนใจจากหมู่คณะ ความสนใจๆ มันเป็นน้ำใจต่อกัน ความมีน้ำใจต่อกัน น้ำใจต่อกัน เวลาพลัดพราก น้ำหูน้ำตาไหลนะ เวลาพลัดพรากขึ้นมา ต้องพลัดพรากจากกันๆ
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วความพลัดพราก พลัดพรากจากไหน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อาสวักขยญาณ ชำระล้างกิเลสไปแล้ว จบ ไม่มีอะไรตาย ไม่มีสิ่งใดพลัดพราก ความพลัดพรากมันจบสิ้นไปแล้ว ความจบสิ้นไปแล้วจบสิ้นมาจากไหนล่ะ จบสิ้นมาจากอาสวักขยญาณ ญาณวิถีในหัวใจอันนั้นน่ะ ถ้าญาณวิถีในหัวใจอันนั้นมันเกิดขึ้นมา แล้วญาณวิถีมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ญาณวิถี
ในปัจจุบันมนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธรรมชาติของมัน ความคิดธรรมชาติของมัน ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งธรรมชาติของมัน ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น มนุษย์มีโดยสัจจะเป็นอย่างนั้น แล้วมีอวิชชา อวิชชาความไม่รู้ ความไม่รู้ก็ศึกษาๆ ศึกษาธรรมะมา ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ทรงจำธรรมวินัยไว้ๆ ทรงจำธรรมวินัยเป็นปริยัติ ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ไม่ได้ศึกษามาเพื่อเป็นความรู้ของเรา ศึกษามาเป็นความรู้ของเราไม่ได้ เป็นความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่ากล่าวตู่
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใจเป็นธรรม เห็นไหม ไม่มีกำมือในเรา แบตลอด สัจธรรมธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบตลอด เราต่างหากเข้าไม่ถึง เราต่างหากทำไม่ได้ ถ้าเราทำขึ้นมาของเราได้ นี่ไง ไม่มีกำมือในเรา ไม่มีลับลมคมในใดๆ ทั้งสิ้น เป็นสัจจะเป็นความจริงแน่นอน ถ้าเป็นความจริงแน่นอน แต่เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาเป็นของเราๆ เห็นไหม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์คร่ำครวญมาก พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ ต้องการคนสั่งสอน ต้องการคนคุ้มครองดูแลตลอดไป
อานนท์ เราไม่ได้เอาธรรมของใครไปเลยนะ เราเอาของเราไปเท่านั้น
เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด
เพราะนิพพานในใจของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะมันก็เป็นสมบัติของพระสารีบุตร ของพระโมคคัลลานะ มันจะเป็นของใคร
สมควรแก่เวลาของเธอเถิด เวลาของเธอพร้อมแล้ว เธอก็ดับขันธ์นิพพานไป นั่นเป็นสัจจะเป็นความจริง นั่นมันเป็นสมบัติส่วนตัว เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสมบัติของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ นี้เราไปศึกษาๆ ศึกษามาเพื่อเป็นแนวทาง ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษาทรงจำธรรมวินัยๆ เราชาวพุทธ ชาวพุทธจะรุ่งเรือง สังคมจะเจริญรุ่งเรืองได้ โลกจะเจริญรุ่งเรืองได้ต้องมีการศึกษา การศึกษา ศึกษามาให้คนฉลาด ศึกษามาให้คนเกิดปัญญาของตนขึ้นมา
ดูสิ มีการศึกษา ศึกษาจบแล้วเอาตัวไม่รอดๆ ศึกษามาแล้วไม่มีปัญญา ไม่สามารถกระทำให้เป็นสัจจะเป็นความจริงของตนขึ้นมาได้ นี่ไง เวลาศึกษาจบแล้ว เห็นไหม ศึกษามาด้วยกัน คนคนหนึ่งทำประสบความสำเร็จมหาศาลเลย ศึกษามาด้วยกันล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้นน่ะ นี่การศึกษา แต่การกระทำๆ ทำให้เป็นจริงขึ้นมา ทรงจำธรรมวินัยนี้ไว้ ทรงจำไว้มาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เราอยู่กับโลก เห็นแล้วมันก็ชื่นใจทั้งนั้นน่ะ ระดับของโลกนะ ขอให้โลกร่มเย็นเป็นสุข
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลารื้อสัตว์ขนสัตว์ ความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือรื้อสัตว์ขนสัตว์ในใจของสัตว์โลก แต่เวลาระดับของทาน ต้องการให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ในบ้านในเรือนของเรา พระอรหันต์ของลูก ลูก พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา มีค่าไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมา ชีวิตทั้งชีวิตมานั่งกันอยู่นี่มาจากไหน ไม่ใช่มาจากท้องแม่หรือ ก็มาจากท้องแม่ทั้งนั้นน่ะ แม่คลอดออกมา แล้วแม่ให้ชีวิตนี้มา แม่ไม่มีคุณค่าได้อย่างไร
เวลาเกิดมา สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ หามาเลี้ยง มาป้อนมาดูมาแลทั้งนั้นน่ะ มีการศึกษาก็ส่งเสริมทั้งนั้นน่ะ นี่พระอรหันต์ของเรา ถ้าพระอรหันต์ของเรา แต่พระอรหันต์ติเตียนเราทุกวันเลย พระอรหันต์จ้ำจี้จ้ำไชเราทุกวันเลย นั่นก็พระอรหันต์น่ะ พระอรหันต์มีความปรารถนาดีต่อเราไง
แต่ความปรารถนาดีของพ่อของแม่ใช่ไหม แล้วความปรารถนาดีของพ่อของแม่ เราพาพ่อแม่มาวัดมาวา มาวัดมาวาเพื่อฟังธรรมๆ ไง ฟังธรรมที่ไหน เราป้อนพ่อป้อนแม่ในชาตินี้นะ แต่เวลาบุญกุศลมันส่งต่อภพชาติไปเลย นี่ไง ทิพย์สมบัติๆ สิ่งที่เสียสละไปแล้วเป็นระดับของทาน เก็บไว้มันจะเสียหายทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเสียสละไปแล้วเป็นทิพย์ทันทีเลย ทิพย์อยู่ที่ไหน วิญญาณาหาร เวลาเทวดาเกิดขึ้นมา บนสวรรค์ไม่มีตลาดนะ สวรรค์ไม่มีตลาดหรอก เรามีตลาด เราซื้อเราหากันได้ เราขวนขวายได้ สวรรค์ไม่มีตลาด สวรรค์นี่ทิพย์สมบัติ สมบัติของตนที่ใครทำมา นี่ไง บนสวรรค์มันยังมีสูงมีต่ำ
อนุโมทนาทานๆ เราเห็นแล้วอนุโมทนาไปกับเขา เพราะเราไม่มีอำนาจวาสนาพอที่จะหาเป็นทรัพย์สมบัติของเราได้ เขาทำบุญกุศล เราก็อนุโมทนาไปกับเขา เวลาไปเกิดเป็นเทวดา แต่มันก็ยังเป็นบุญกุศล มันก็เป็นคุณงามความดี เราต้องการคุณงามความดีของเรา เราต้องการคุณงามความดีของเราไง
ในสวรรค์ไม่มีตลาด ในสวรรค์ ทำไปจากนี่ ใครทำมากทำน้อย ทำไปจากนี่ แล้วทำไป กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมในหัวใจนี่ไง มโนกรรม ความรู้สึกนึกคิดนี้ เวลาพระพุทธศาสนามันสอนที่นี่ไง เวลามรรคผลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะสางล้างความคิดความหมักหมมในใจ ในใจที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเกาะกุมในหัวใจอันนั้นน่ะ นั่นน่ะมันอยู่ตรงนั้น ถ้าอยู่ตรงนั้นขึ้นมา มันย้อนกลับมานี่ ทาน ระดับของทาน เราเห็นเราก็อนุโมทนาไปกับเขานะ ใครทำคุณงามความดี อู๋ย! น่าชื่นชม น่าส่งเสริม ทำความดีของเขา แต่ทำคุณงามความดีของเขาทำคุณงามความดีเพื่อสังคม ถ้าทำความดีๆ ของเรา แล้วความดีที่เป็นความจริงล่ะ
ความดีที่เป็นความจริง นั่งลง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ค้นหาหัวใจของเราให้เจอ ตรงนี้สำคัญกว่า สำคัญที่สุดนะ อัตตสมบัติ ครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ พระทรงธรรมทรงวินัยไม่ได้ ใครจะทรง แล้วทรงธรรมทรงวินัยทรงที่ไหน ถ้ามันทรงที่ไหน ทรงที่สมองใช่ไหม สมองนี่ความจำไง ศึกษามานี่สมองทั้งนั้นน่ะ แล้วเวลาเลอะเลือนก็ไปทบทวนๆ ไง แต่ถ้าเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิมั่นคงในหัวใจนั้น มั่นคงในหัวใจนั้น รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง ใครทำความสงบของใจได้มันจะฝังหัวใจนั้นตลอดไป แค่ทำสมาธิได้มันก็ฝังหัวใจแล้ว สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
ศึกษามาขนาดไหนก็ศึกษามา มีความรู้ขนาดไหนก็เป็นความรู้อย่างนั้น เป็นความจำทั้งนั้น แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา แค่สติ แค่ยับยั้ง แค่ฟุ้งซ่าน ชีวิตนี้เร่าร้อนนัก ชีวิตนี้เป็นความทุกข์ยากนัก ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันยับยั้งได้ ความคิดนั้นดับหมด ครูบาอาจารย์ท่านสอน ฝ่ามือนี้สามารถกั้นคลื่นทะเลได้
ดูสิ เวลาคลื่นมันมา เวลาพายุมันเกิด ฝ่ามือสามารถกั้นคลื่นได้เลย สติๆ สามารถหยุดอารมณ์ได้หมดเลย ถ้ามันอยู่กับอารมณ์ได้ นี่ไง สติ ถ้าเป็นตัวสติจริงๆ นะ ไม่ใช่ ส เสือ ต เต่า สระอิ ถ้า ส เสือ ต เต่า สระอิ ก็สงสัยนะ เออ! สติก็คือสติ สติก็เอามาเลย วิเคราะห์วิจารณ์ สติ สติ
แต่ถ้ามันเป็นความจริงของเรา สติเป็นอย่างนี้เว้ย สติทำให้ความคิดมันหยุดหมด ถ้ามีสติ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าเกิดสัมมาสมาธิ เกิดความสงบสุขขึ้นมา ถ้าเกิดความสงบสุขขึ้นมา นี่ไง นี่ภาคปฏิบัติๆ ทรงจำธรรมวินัยมาเพื่อปฏิบัติ ทรงจำธรรมวินัยมาเพื่อให้มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นสัจจะความจริงขึ้นมา แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันเป็นปัญญาขึ้นมาได้ล่ะ ถ้าเป็นปัญญาขึ้นมาได้ มหัศจรรย์กับความเป็นจริงในหัวใจนัก
เวลามรรคมันเคลื่อนนะ เวลาปัญญามันเคลื่อนไป เวลามันหมุนติ้วๆ มันหมุนอย่างไร มันเอาอะไรมาหมุน ธรรมจักรๆ กงล้อแห่งจักร กงล้อแห่งจักรนั้นเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นอย่างไร ถ้ามันเกิดขึ้น นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนั้น เวลาว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาอย่างนี้ต่างหากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนา ปัญญาอย่างนี้ต่างหากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วปัญญาอย่างนี้ที่มันจะเข้าไปชำระ ปัญญาอย่างนี้มันเกิดที่ไหน ปัญญาอย่างนี้มันเกิดที่จิต ไม่ใช่เกิดที่สมอง ไม่ใช่เกิดสามัญสำนึก ไม่ใช่เกิดใดๆ ทั้งสิ้น ตรรกะก็ไม่ใช่
นี่ไง จินตนมยปัญญา ปัญญาเกิดจากจินตนาการ จินตนาการที่เกิดจากสัมมาสมาธิที่มันสงบระงับ มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์ก็มหัศจรรย์สิ ถ้าไม่มหัศจรรย์ กิเลสมันจะหลอกได้หรือ ที่กิเลสมันหลอกๆ ก็เพราะความมหัศจรรย์นั่นแหละ ความมหัศจรรย์ของมันทำให้เราเชื่อได้ ถ้าทำให้เชื่อได้เพราะอะไร เพราะทุกคนก็รักตัวเองใช่ไหม ทุกคนก็เอาตัวเองรอดให้ได้ใช่ไหม แล้วมันเกิดขึ้นจากเรา มันจะโกหกไปจากไหน มันจะโกหกไปได้อย่างไร ก็มันเกิดจากเรา เราเป็นคนทำจะโกหกได้อย่างไร...นั่นล่ะมันโกหก
มัชฌิมาปฏิปทา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ความชอบธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กิเลสตายสนิท ยถา ภูตัง ญาณทัสสนัง ยถา ภูตัง กิเลสตาย รู้ว่ากิเลสตาย พลิกศพมันด้วยนะ พลิกศพกิเลสเลยล่ะ แต่การพลิกศพจากในหัวใจของตน ถ้ามันมีหัวใจของตน มันเกิดอีกไม่ได้ มันฟื้นไม่ได้ มันฟื้นขึ้นมาไม่ได้ นั่นคือภาวนามยปัญญา ปัญญาอย่างนั้นเกิดขึ้นมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์เพราะอะไร มหัศจรรย์นะ ในตำราไม่มี ในตำราก็ภาวนามยปัญญาๆ แล้วปัญญาอย่างไร แล้วมันเทียบเคียงกันอย่างไร
เทียบเคียงกันไม่ได้ ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญา นี่ไง ที่ว่าปัญญามันเกิดขึ้น แล้วมันเกิดขึ้น บุคคล ๔ คู่ จิตที่มันพัฒนาขึ้นแต่ละชั้นเป็นตอน บุคคลคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ แล้วใครเป็น บุคคล ๔ คู่ก็ ๘ คน ถ้าใจดวงที่มันเป็นล่ะ ใจที่มันพัฒนาขึ้นล่ะ ใจที่มันเป็นมันเป็นอย่างไร นี่ไง อัตตสมบัติในหัวใจไง นี่ไง วันพระๆ วันพระเป็นผู้ประเสริฐ ประเสริฐอย่างนี้
เวลาพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของเรา พ่อแม่ก็มีปู่ย่าตายายเหมือนกัน นี่พันธุกรรมของชาติของตระกูลของเราไง แต่อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกันนะ อำนาจวาสนาของคน พันธุกรรมของจิตๆ จิตที่มันสร้างสมมา อภิชาติบุตร บุตรที่มีอำนาจวาสนาดีกว่าพ่อกว่าแม่ ถ้าดีกว่าพ่อกว่าแม่ ต้องสร้างสิ่งใดที่ประสบความสำเร็จทางโลกใช่ไหม ต้องเป็นเศรษฐีโลกอันดับหนึ่งใช่ไหมถึงจะเป็นอภิชาติบุตร แต่อภิชาติบุตรอย่างนั้น ถ้าเขาไม่มีสติปัญญาล่ะ
แต่ถ้าเป็นอภิชาติบุตร เขาทำคุณงามความดีของเขา เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ข้ามภพข้ามชาตินะ ดูสิ เปิดตาของใจได้มันข้ามภพข้ามชาติเลย เพราะคุณงามความดีไง คุณงามความดีเกิดดีๆๆ เวลาท้าวโฆสก ท้าวโฆสกก็เหมือนกัน สิ่งที่เวลาเป็นเทวดา เป็นเทวดาที่เสียงเพราะมาก เสียงเพราะมาก เสียงเพราะมากเพราะอะไร เพราะเขาทำคุณงามความดีของเขา เวลาผู้ที่เป็นเทวดา เป็นเทวดาแล้วเขาจะระลึกว่า ได้แต่ใดมา มันมาจากไหน ใครเป็นคนทำให้ ระลึกถึงนะ ย้อนกลับไปดู ย้อนกลับไปดู เขาระลึกถึงบุญถึงคุณนะ
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราเกิดมา ผลของวัฏฏะๆ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลามาเจอสายบุญสายกรรมที่ดี มันเห็นแล้วมันเข้ากันนะ เห็นแล้วแบบว่ามัน อืม! เหมือนกับเราคุ้นเคยกัน แต่ถ้าไม่มีเวรมีกรรมต่อกันนะ เวลามันปะทะแล้วมันแยกเลย พอปะทะแล้วมันเหม็นเลยนะ อันนั้นเราก็อโหสิกรรมต่อกัน อันนั้นมันเป็นความประมาท เป็นความเลินเล่อ เป็นความไม่เข้าใจของเรา
แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพระพุทธศาสนาสอนย้ำลงเลยนะ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร มันมีเวรมีกรรมมาทั้งนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่จะไม่เป็นญาติกันเลยนี่ไม่มี ที่เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราต้องเกิดพบกันในชาติใดชาติหนึ่งแน่นอน แล้วการเกิดมา เกิดมาพบกันแล้วทำสิ่งใดกันมา ถ้าทำคุณงามความดีกันมานะ มันจะเป็นการที่ไว้เนื้อเชื่อใจ ไว้วางใจต่อกัน แต่ถ้ามันเกิดมาแล้วมันมีสิ่งใดที่มันขัดแย้งกันๆ มันไฟท์กันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เราเกิดในชาติปัจจุบันนี้ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วธรรมวินัยสอนเรื่องอะไร
สอนการให้อภัยต่อกันน่ะ เราให้อภัยๆ เราจะเสียเปรียบได้เปรียบไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เอาไปเลย เอาไปเลย ให้ ให้ไปเลย ได้เปรียบเสียเปรียบให้เขาไป ให้เขาไป จบกันเสียที พอกันเสียที นี่ไง เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เราจะไม่จองเวรจองกรรมใครทั้งสิ้นนะ แล้วทำคุณงามความดีอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปด้วย อุทิศให้เขาไป นี่ไง กรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชื่อกรรม พระพุทธศาสนาสอนให้เชื่อกรรม กรรมคือการกระทำ เราทำมาทั้งนั้น จะดีหรือชั่ว เราทำมาทั้งนั้น แล้วเวลามันตอบสนองผลถึงเรา เรามีแต่เสียใจนะ ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นขาดตกบกพร่อง เราจะน้อยเนื้อต่ำใจ ทำบุญไม่ได้บุญ ทำดีไม่ได้ดี
เราทำดีนี่ดีแล้ว แต่สิ่งที่มันมีมาแต่อดีต เราทำมา เราทำมา เวลาคนที่เขาทำความดีมา เขาไม่ต้องปรารถนาความดีเลย มันมาเอง มันมาเอง นั้นมันเป็นเรื่องบุญกุศล แต่ถ้าเป็นเรื่องปัจจุบันต้องใช้ปัญญา ปัจจุบันต้องมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เรามีต้นทุนมาเท่าใด เราก็จะมาขวนขวายทำเพิ่มขึ้นให้มากขึ้นไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่าเรามีต้นทุนเท่านี้ เราจะมาพอใจกับความเป็นต้นทุนของเรา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน บุพเพนิวาสานุสติญาณ สิ่งที่เราได้สร้างมา จุตูปปาตญาณ ถ้ายังไม่จบสิ้น มันจะไปอนาคต อาสวักขยญาณ ชำระที่ปัจจุบันนี้
ในปัจจุบันนี้เรามีสติมีปัญญา เราจะสร้างคุณงามความดีของเรา ถ้าทำคุณงามความดีของเรา เราโง่ เราไม่เท่าทันเขา หลวงตาท่านพูดประจำนะ ถ้าพูดถึงทางโลก เราโง่ที่สุดเลย เพราะอะไร เสียสละอย่างเดียว ให้เขาอย่างเดียวเลย แต่ถ้าเป็นทางธรรม ท่านยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม แต่ถ้าเป็นทางโลก ทุกคนว่าเราโง่เง่าเต่าตุ่น ไม่รู้จักแสวงหาผลประโยชน์ ไม่รู้จัก
ผลประโยชน์จากใคร มันเป็นประโยชน์สาธารณะ มันประโยชน์เขา เราให้เขา เรากลับได้คุณงามความดีจากภายในๆ ไง นี่ถ้ามันฉลาด มันฉลาดอย่างนี้ไง เราไม่ต้องไปแข่งขันกับเขา มันจะเสียใจนะ มันจะเสียใจว่าเรานี่ไม่เท่าทันเขา เราจะเสียเปรียบเขา
เสียเปรียบตรงไหน แพ้เป็นพระ เราชนะตลอด เราชนะใจเราเอง เราชนะกิเลสของเรา เราชนะความตระหนี่ถี่เหนียว เราชนะที่จะเอาเปรียบเขา เราชนะที่จะเหยียบหัวคนน่ะ กิเลสมันจะย่ำเขานี่ เราดึงไว้ เราดึงไว้ นี่ชนะตรงนี้ เราชนะตลอด แต่เรามีปัญญาไง มีปัญญา เราให้เขา เราชนะด้วย เรารู้ด้วย เรารู้เท่าทันหมดแหละ แต่กูให้ เห็นไหม เราให้แบบมีสติมีปัญญาไง เราไม่ใช่ให้แบบจนตรอก ให้แบบคนขี้ขลาดยอมจำนน ต้องให้เขา ไม่ใช่
เราให้เขาด้วยปัญญา เราให้เขา นี่ไง เราให้เขาด้วยปัญญา นี่ผู้แพ้ แพ้เป็นพระ เขาเป็นพระในใจของเขา เขามีคุณงามความดีของเขา ให้เขาไป ให้เขาไป เป็นเวรเป็นกรรม ให้เขาไป แต่ถ้าเป็นความจริงๆ เราก็รักษาของเรา มันเป็นสิทธิ์นะ คนเกิดมามีสติมีปัญญารักษาสิทธิ์ของเรา สิทธิ์เราต้องปกป้องในปัจจุบันนี้ แต่ถ้ามันเป็นเวรเป็นกรรม ให้เขาไป ให้เขาไป แล้วมันจบสิ้นกัน นี่ถ้ามีสติ แพ้เป็นพระแพ้อย่างนี้ ไม่ใช่แพ้ด้วยความยอมจำนน แพ้ด้วยสติ แพ้ด้วยปัญญา แพ้ด้วยคุณธรรม มีคุณธรรมในใจ แต่ข้างนอกให้เขาไป เอวัง